โรคภูมิแพ้เด็ก

สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคภูมิแพ้ คือพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่ง พันธุกรรม เป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ทุกชนิด โดยถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่ก่อนแล้ว ลูกก็จะมีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ได้มากขึ้น ส่วน สิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่ตอนคุณแม่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ไปจนถึงสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงดูเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอยู่ในสถานที่ที่มีสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น สัตว์เลี้ยง ละอองหญ้า เกสรดอกไม้ ใกล้ชิดคนสูบบุหรี่ พื้นที่ที่มีฝุ่น pm 2.5 หนาแน่น จะเพิ่มความเสี่ยงและความรุนแรงของการเป็นโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ในเด็กสร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ไม่น้อย พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา โรงพยาบาลนวเวช จึงได้มาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อให้พ่อคุณแม่ได้รู้จัก ทำความเข้าใจ และรับมือได้เมื่อลูกน้อยเป็นโรคภูมิแพ้

การเกิดโรคภูมิแพ้มักเป็นไปตามอายุ เช่น

  • โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy) มักพบในช่วงขวบปีแรก โดยมีการแพ้อาหารของเด็ก ตามช่วงอายุดังนี้

– การแพ้โปรตีนนมวัว (cow’s milk protein allergy) มักพบในช่วงขวบปีแรก โดยพบว่าการที่แม่ดื่มนมวัวปริมาณมากกว่าปกติในช่วงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร การมีพี่น้องมีอาการแพ้โปรตีนนมวัวอยู่แล้วจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

– การแพ้ไข่ (Egg allergy) แพ้แป้งสาลี (Wheat allergy) แพ้ถั่ว (Peanut allergy) ในปัจจุบันพบว่าเกิดได้ทั้งจากที่เด็กเริ่มกินเองเป็นครั้งแรก หรือที่ผ่านทางน้ำนมแม่ ก็มีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเช่นกัน 

  • โรคภูมิแพ้อากาศ (Allergic rhinitis) จะต่างจากการเป็นโรคภูมิแพ้อาหาร มักจะพบในช่วงเด็กอายุ 2-3ขวบปี โดยพบว่าการเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ เชื้อรา หญ้า วัชพืช และละอองเกสร รวมไปถึงการมีสัตว์เลี้ยงในบริเวณบ้าน ทั้งสุนัข และแมว จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในอายุที่น้อยลง และกระตุ้นทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้
  • การเกิดภาวะหลอดลมไวหลังการติดเชื้อไวรัส (Viral induced wheezing) และการเป็นโรคหอบหืด (Asthma) นั้น สามารถพบได้ในช่วงอายุที่หลากหลาย ซึ่งถ้ามีภาวะหลอดลมไวหลังการติดเชื้อไวรัสบ่อยครั้งก่อนอายุ 5 ปี จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบหืดได้มากกว่าปกติถึง 2-3 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การติดเชื้อจากไวรัสทางเดินหายใจ RSV

อาการแสดงเบื้องต้นของการแพ้อาหารมีได้หลายลักษณะ

  • อาการทางผิวหนัง เช่น

– ผื่นคัน ผื่นแดง ผื่นเม็ดทราย (Maculopapular rash) ซึ่งมักพบบริเวณลำตัวได้มากที่สุด

– ผื่นแพ้ผิวหนังบริเวณที่เฉพาะเจาะจง (Atopic dermatitis) มีลักษณะหยาบ หนา แห้ง คันเรื้อรัง เฉพาะ

บริเวณ เช่น แก้ม ข้อมือ ข้อเท้า ข้อพับแขนขา รวมไปถึงตามลำตัวและท้องได้ ซึ่งผื่นนี้ เด็กทารกมักมีอาการคันมาก การเกาทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณผิวหนังตามมาได้บ่อย ๆ ทำให้รักษาหายขาดได้ยาก

– ผื่นลมพิษแบบเฉียบพลัน (Urticaria)

– อาการบวมของเยื่อบุบริเวณเปลือกตา ปาก หู ทั่วใบหน้า (Angioedema) ไปจนถึงแพ้แบบรุนแรง

  Anaphylaxis ได้

  • อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น

– การแน่นจมูก จาม มีน้ำมูกใส ๆ ไหลเรื้อรัง หรือเป็น ๆ หาย ๆ (Rhinorrhea/Rhinitis) ซึ่งอาการมีความคล้ายกับอาการของภูมิแพ้อากาศได้

– หายใจครืดคราด ติดขัด หายใจหอบเหนื่อย แน่นหน้าอก (Chest tightness) ไปจนถึงหายใจแบบมีเสียงวี๊ด (Wheezing) ซึ่งอาการมีความคล้ายกับอาการของโรคหอบหืดได้เช่นกัน

ทั้งนี้อาการทางระบบทางเดินหายใจอาจมีความรุนแรงไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

  • อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น

– การคัน ระคายในคอในช่องปาก ปวดท้องแบบบีบเกร็ง ซึ่งทำให้ทารกร้องกวนบ่อย ๆ นอนได้ไม่นาน ไม่สบายท้อง แน่นท้อง (Abdominal discomfort) ลักษณะเหมือนมีลมในท้อง ซึ่งอาจทำให้สะอึกหรือขย้อนนมตามหลังการกินนมได้

– ถ่ายบ่อย ถ่ายท้องเสีย (Enteritis) โดยเฉพาะถ่ายปนมูก ถ่ายปนมูกเลือด (Mucous bloody stool appearance)

– กินนมยาก น้ำหนักไม่ขึ้น เลี้ยงไม่โต

– ร้องไห้โคลิค (Colic)

คำแนะนำสำหรับการเริ่มต้นอาหารมื้อแรก ในเด็กกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการแพ้อาหาร เป็นดังนี้

1.  ข้าว เป็นอาหารหลัก เริ่มที่มื้อแรก ควรเป็นข้าวขาว ในทารกที่กินนมแม่สามารถกินเป็นข้าวบดผสมนมแม่ได้

2. ผัก ผลไม้ เริ่มที่อายุ 4-6 เดือน เนื่องจากเป็นอาหารความเสี่ยงน้อยต่อการแพ้อาหาร สามารถกินซ้ำเพียง 2-3 วัน ได้ตามลำดับ

– ผักสีขาว-เขียวอ่อน : ผักกาดขาว หัวหอม หัวไชเท้า ซูกินี่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก

– ผักสีเขียวเข้ม : ผักบุ้ง คะน้า กวางตุ้ง ตำลึง บลอคโคลี่ ผักโขม

– ผักสีเหลือง ส้ม แดง ม่วง : ข้าวโพด ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ บีทรูท มะเขือม่วง

3. เนื้อสัตว์ เริ่มที่อายุ 6 เดือน: เนื้อไก่ เนื้อหมู ตับ และปลาน้ำจืด ตามลำดับ

4. อาหารกลุ่มความเสี่ยงสูง ควรเริ่มตามอายุ ดังนี้

– ไข่แดง : อายุ 6 เดือน

– ไข่ขาว : อายุ 7-9 เดือน

– แป้งสาลีและธัญพืช : 11-12 เดือน

– ถั่วเหลือง : อายุ 6-7 เดือน

– ถั่วลิสง และถั่วเปลือกแข็ง : อายุ 3 ปีขึ้นไป

– อาหารทะเล  เช่น ปลาทะเล กุ้ง ปู หอย  : อายุ 2 ปีขึ้นไป / ปลาหมึก  : อายุ 2-3 ปีขึ้นไป 

โรงพยาบาลนวเวช มุ่งมั่นให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและเข้าถึงง่าย พร้อมดูแลสุขภาพของผู้หญิง แม่ และเด็ก อย่างเข้าอกเข้าใจ ด้วยบริการทางการแพทย์ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย และทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลนวเวช โทร.02 483 9999 หรือ www.navavej.com

Shares: